วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล ด.ญ.พุทธิพร คงชาตรี
ชื่อเล่น แพร
วัน เดือน ปี เกิด วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ.2546
อายุ 11 ปี
กรุ๊ปเลือด เอ
ศาสนา พุทธ
กําลังศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย สุพรรณบุรี
ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่1
ที่อยู่ จังหวัดสุพรรณบุรี
งานอดิเรก เล่นคอมพิวเตอร์
สีที่ชอบ สีีฟ้า
Name Puttiporn Komchatree
Nickname Pear
Birthday Monday, 20 January 2546.
Age 11 years
Favorite color Blue
Blood A
Religion Buddhism
Study Kanchanaphisekwithayalai
M.1/1 No.27
Address Suphanburi
Hobby play computer game
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557
ประโยชน์ของคะน้า
ผักคะน้า
คะน้า หรือ ผักคะน้า ภาษาอังกฤษ Kai-Lan (Gai-Lan),Chinese Broccoli, Chinese Kale มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าBrassica alboglabra (ชาวจีนจะเรียกว่า ไก่หลันไช่) เป็นผักที่มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชียซึ่งเพาะปลูกมากในประเทศจีน ไต้หวัน ฮ่องกงมาเลเซีย รวมไปถึงประเทศไทยบ้านเราด้วย
ผักคะน้าเป็นผักที่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดปี (แต่ช่วงเวลาเพาะปลูกที่ดีที่สุดจะในช่วงเดือนตุลาคม – เมษายน) มีระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวสั้น สำหรับบ้านเราสายพันธุ์ที่นิยมปลูกจะมีอยู่ด้วยกัน 3 สานพันธุ์ได้แก่ พันธุ์ใบกลม พันธุ์ใบแหลม พันธุ์ยอดหรือก้าน เป็นต้น เมื่อหาซื้อมาแล้วควรเก็บใส่ไว้ในกล่องหรือถุงพลาสติก มัดหรือปิดให้แน่นแล้วนำไปแช่ไว้ในช่องเก็บผักของตู้เย็น ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยรักษาวิตามินในผักให้คงอยู่ได้มากที่สุด
คะน้า เป็นพืชผักใบเขียวที่นิยมรับประทานกันทั่วไป เป็นผักที่หาซื้อง่ายราคาไม่แพง แต่มีสิ่งที่ควรจะระวังเป็นพิเศษนอกจากการปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงแล้ว อาจจะต้องระวังในเรื่องของธาตุแคดเมียมที่อาจจะปนเปื้อนมากับน้ำและพื้นดินด้วย เพราะหากร่างกายได้รับเข้าไปมันจะเข้าไปสะสมในตับและไต ซึ่งจะเป็นพิษต่อตับและไตของคุณเอง และก่อนนำมารับประทานคุณควรล้างให้ทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง ด้วยการล้างน้ำสะอาดหลายๆครั้ง หรือจะล้างด้วยการใช้น้ำก๊อกไหลผ่านอย่างน้อย 2 นาที หรือจะสายละลายอื่นๆ ก็จะดีมาก เช่น น้ำยาล้างผัก น้ำส้มสายชู เกลือละลายน้ำ เป็นต้น (เพราะผักคะน้าขึ้นนั้นได้ชื่อว่าเป็นผักที่พบสารพิษตกค้างหรือยาฆ่าแมลงมากที่สุด) !
ผักคะน้า มีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) ซึ่งการได้รับในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ร่างกายขาด แร่ธาตุไอโอดีน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคคอพอก และยังไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ร่างกายของเรานำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยกว่าปกติ เป็นต้น ทางที่ดีที่สุดควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักชนิดซ้ำๆเดิมๆ และควรเลือกรับประทานผักให้หลากหลายร่างกายจะได้ประโยชน์มากที่สุด
ประโยชน์ของคะน้า
1.มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกายได้
2.ผักคะน้า ประโยชน์ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานในกับร่างกาย ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง
3.ช่วยบำรุงผิวพรรณและป้องกันการติดเชื้อต่างๆ
4.ผักคะน้ามีวิตามินซีซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้นมากขึ้น (วิตามินซี)
5.สรรพคุณผักคะน้า ช่วยบำรุงและรักษาสายตา (วิตามินเอ)
6.สรรพคุณของคะน้ามีสาร ลูทีน (Lutein) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกได้ถึง 29% (ลูทีน)
7.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และยังช่วยป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตาได้อีกด้วย
8.ประโยชน์ของผักคะน้า ช่วยบำรุงโลหิต
9.ธาตุเหล็กและธาตุโฟเลตในผักคะน้า มีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง
10.ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
11.ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่างๆ ทำหน้าที่ช่วยขับออกซิเจนที่เลือดนำมาไว้ใช้
12.ผักคะน้ามีแคลเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน (แคลเซียม)
คะน้า สรรพคุณช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน (แคลเซียม)
สรรพคุณคะน้า มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลผักคะน้าแมกนีเซียมสูง ซึ่งช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนลงได้ (ธาตุแมกนีเซียม)ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม ทำให้อัตราการเปลี่ยนของความจำช้าลง และช่วยชะลอการเสื่อมของอายุสมอง (วิตามินอี)
มีคุณสมบัติช่วยป้องกันยับยั้งการเจริญของเนื้องอก ยั้งยั้งสารก่อมะเร็ง ต่อต้านอนุมูลอิสระและสารก่อมะเร็ง ช่วยส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยขับพิษของสารก่อมะเร็งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านมสรรพคุณของผักคะน้า ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางผักคะน้า สรรพคุณทางยาช่วยรักษาโรคหอบหืด เพราะช่วยลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบในหลอดลม และยังช่วยขยายหลอดลมของผู้ที่เป็นโรคหอบหืดอีกด้วยผักรสขมอย่างคะน้า ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ ช่วยคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมเมื่อถูกโจมตีด้วยละอองเกสรหรือฝุ่นที่ทำให้ร่างกายต่อต้าน
ผักคะน้า สรรพคุณช่วยป้องกันโรคท้องผูก (เส้นใย)การรับประทานผักคะน้าเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดตะคริวประโยชน์ผักคะน้า ช่วยรักษาสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยลดอาการหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวนในสตรีช่วงมีประจำเดือนเป็นผักที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ เพราะผักคะน้าถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มผักที่มีน้ำตาลน้อยที่สุดเลยก็ว่าได้ (3-5%)คะน้า ประโยชน์ช่วยเสริมสร้างสมองของเด็กทารกในครรภ์ (กรดโฟลิก)ผักคะน้ามีโฟเลตสูง จำเป็นอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงต่อการที่เด็กทารกพิการแต่กำเนิด (โฟเลต)ประโยชน์ของคะน้า ช่วยลดอาการกินของจุบจิบ เพราะแคลเซียมจะช่วยปรับระดับของฮอร์โมนให้คงที่ทำให้ความอยากกินของจุบจิบสลายตัวไปได้ (ธาตุแคลเซียม)
ประโยชน์คะน้าสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู เมนูคะน้า ก็เช่น ผัดคะน้าหมูกรอบ ผัดผักคะน้า ยำก้านคะน้า ต้มจับฉ่าย คะน้าไก่กรอบ คะน้าปลาเค็ม คะน้าเห็ดหอม คะน้าปลากระป๋อง ข้าวผัดคะน้า เป็นต้น
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), ดร.หรงฮัว จูเกอ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเส็ตส์ สหรัฐอเมริกา
วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557
ราชอาณาจักรกัมพูชา Kingdom of Cambodia
ราชอาณาจักรกัมพูชา(Kingdom of Cambodia)
ข้อมูลทั่วไป
ที่ตั้ง ตั้งอยู่กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทิศเหนือติดกับประเทศไทย (จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์) และลาว (แขวง อัตตะปือและจำปาสัก) ทิศตะวันออกติดเวียดนาม (จังหวัดกอนทูม เปลกู ซาลาย ดั๊กลั๊ก ส่องแบ๋ เตยนิน ลองอาน ด่งท๊าบ อันซาง และเกียงซาง) ทิศตะวันตกติดประเทศไทย (จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และตราด) และทิศใต้ติดอ่าวไทย
พื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือมีขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย เส้นเขตแดนโดยรอบประเทศยาวประมาณ 2,000 กิโลเมตร โดยมีเส้นเขตแดนติดต่อกับประเทศไทยยาว 798 กิโลเมตร
เมืองหลวง กรุงพนมเปญ
ประชากร 14.14 ล้านคน (2553)
ภาษาราชการ ภาษาเขมร
ศาสนา พุทธนิกายเถรวาท
การเมืองการปกครอง
ประมุข พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี (Preah Bat Samdech Preah Boromneath Norodom Sihamoni)
ผู้นำรัฐบาล สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีต่างประเทศ นายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ
ระบอบการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
เขตการปกครอง ตามกฤษฎีกา ลงนามโดย นรม.กพช. เมื่อ 12 ม.ค. 2552 กำหนดให้มีการแบ่งเขตการปกครอง ดังนี้:แบ่งเป็น 1 ราชธานี (พนมเปญ) และ 23 จังหวัด ได้แก่ กระแจะ เกาะกง กันดาล กัมปงจาม กัมปงชนัง กัมปงธม กัมปง สะปือ กัมปอต ตาแก้ว รัตนคีรี พระวิหาร พระตะบอง โพธิสัต บันเตียเมียนเจย ไปรเวง มณฑลคีรี สตึงเตรง สวายเรียง เสียมราฐ อุดรมีชัย ไพลิน แกบ และพระสีหนุ และแต่ละจังหวัดจะมีศูนย์กลางการปกครองเรียกว่า (อำเภอเมือง) เรียกว่า “กรุง” นอกจากนี้ยังมีเมืองสำคัญที่มีฐานะเป็น “กรุง” อีก 3 แห่ง คือ กรุงปอยเปต (จ. บันเตียเมียเจย) กรุงบาเว็ต (จ. สวายเรียง) และกรุงสวง (จ.กำปงจาม)
วันชาติ 9 พฤศจิกายน 2496
วันสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย 19 ธันวาคม 2493
เศรษฐกิจการค้า
หน่วยเงินตรา เรียล (1 บาท ประมาณ 130 เรียล)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 13.16 พันล้าน USD
รายได้ประชาชาติต่อหัว 911.73 USD
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 6.7
สินค้านำเข้าสำคัญ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม บุหรี่ ทองคำ วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร ยานพาหนะ และยา
สินค้าส่งออกสำคัญ เสื้อผ้า สิ่งทอ ไม้ ยางพารา ข้าว ปลา ยาสูบ และรองเท้า
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา
1. ภาพรวมความสัมพันธ์ทั่วไป
•ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2493 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2553 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ได้จัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของสองประเทศขึ้น ณ กรุงพนมเปญ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและกัมพูชาเข้าร่วม
•ปัจจุบัน เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ คือ นายสมปอง สงวนบรรพ์ นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร 3 เหล่าทัพ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (กระทรวงพาณิชย์) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ประจำการอยู่ในกัมพูชาด้วย ในส่วนของกัมพูชา มีนาง You Ay เป็นเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย โดยมีสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำการอยู่ในกรุงเทพฯ และมีสถานกงสุลใหญ่ ประจำจังหวัดสระแก้วด้วย
•กัมพูชาและไทยมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา และรูปแบบการดำรงชีวิตของประชาชนที่คล้ายคลึงกัน มีความสัมพันธ์ในระดับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนบริเวณแนวชายแดนที่ใกล้ชิด และมีการแลกเปลี่ยนทางการค้าปริมาณมาก (สินค้าเกษตร และเครื่องอุปโภคบริโภค) อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาผกผันบ่อยครั้ง สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การเมืองภายใน การปลุกกระแสชาตินิยมในหมู่ประชาชน และปัญหาเขตแดน
• กัมพูชาเคยประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2501 (สถาปนาความสัมพันธ์กลับคืนในเดือนกุมภาพันธ์ 2502) และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2504 (สถาปนาความสัมพันธ์กลับคืนในปี 2509 สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร) โดยทั้ง 2 กรณี มีสาเหตุมาจากข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร
• นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลง (เหลือเป็นระดับอุปทูต) หลังจากเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2546 จากกรณีที่มีรายงานข่าวในกัมพูชาว่า นักแสดงชาวไทย (กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง) กล่าวดูหมิ่นชาวกัมพูชา (รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) และการเรียกเอกอัครราชทูตฯ (นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย) กลับประเทศ ระหว่างวันที่ 5 พ.ย. 2552 – 24 ส.ค. 2553 หลังจากที่กัมพูชาประกาศแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณฯ เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา (ต่อมากัมพูชาออกแถลงการณ์ยุติการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2553) ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับกัมพูชาในช่วงเดียวกัน
• ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชากลับคืนสู่ภาวะปกติ
2. ความสัมพันธ์ด้านการเมือง
• กลไกการเจรจาหารือทวิภาคีที่สำคัญ คือ คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ ทวิภาคี ไทย-กัมพูชา (Joint Commission on Bilateral Cooperation – JC) ซึ่งเป็นเวทีสำหรับการเจรจา/ตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา การท่องเที่ยว ฯลฯ โดยได้มีการประชุมครั้งแรกเมื่อปี 2538 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และครั้งล่าสุด คือ การประชุม JC ครั้งที่ 7 ณ เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 3 - 4 กุมภาพันธ์ 2554 ทั้งนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JC ครั้งที่ 8 ในปี 2555 (ในชั้นนี้ กำหนดจัดในช่วงเดือนสิงหาคม ณ กรุงเทพฯ)
• สำหรับการเจรจาหารือเรื่องเขตแดน มีกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา JBC (Joint Boundary Commission) เป็นเวทีหลัก โดยการประชุมครั้งล่าสุด คือ JBC ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2554 ณ กรุงเทพฯ
• นอกจากนี้ ยังมีกลไกความร่วมมือด้านการทหาร โดยมี คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย – กัมพูชา (General Border Committee - GBC) ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศเป็นประธาน และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย – กัมพูชา (Regional Border Committee – RBC) ซึ่งมีแม่ทัพของแต่ละภูมิภาคทหารของทั้งสองฝ่ายเป็นประธาน
• ปัจจุบัน ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ความสัมพันธ์ไทย – กัมพูชามีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก อย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายกัมพูชาก็ได้แสดงความพร้อมที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์กับไทยอย่างชัดเจน รวมทั้งมีการจัดการประชุมทวิภาคีไทย-กัมพูชาที่เป็นกลไกความร่วมมือและเป็นเวทีหารือที่สำคัญระหว่างกันที่หยุดชะงักไปในช่วงที่มีปัญหาข้อพิพาทระหว่างกัน เช่น การประชุม GBC ครั้งที่ 8 (ระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม 2554) การประชุม JBC ครั้งที่ 5 (ระหว่างวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2555) เป็นต้น นอกจากนี้ มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำระดับสูง เพื่อกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2555 นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ และได้เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ทั้งความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะส่งเสริมและขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างกัน และจำกัดประเด็นที่ยังเป็นปัญหา ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดีในด้านอื่น ๆ และเมื่อวันที่ 29-30 ธันวาคม 2554 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการด้วย และได้พบหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชาด้วย
3. ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ
3.1 การค้า
การค้ารวมระหว่างไทยกัมพูชาปี 2554 มีมูลค่า 93,152.09 ล้านบาท (3,081.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นระยะเดียวกันของปี 2553 ร้อยละ 14.82 จำแนกเป็นมูลค่าการส่งออก 87,779.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 มูลค่าการนำเข้า 5,372.39 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21.8 โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 82,407.31 ล้านบาท สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยไปกัมพูชา ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำตาลทราย มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญจากกัมพูชา ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ เสื้อผ้าสำเร็จรูป พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาสูบ
การค้าชายแดน ปี 2554 มีมูลค่า 70,518.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ร้อยละ 27.25 เป็นมูลค่าการส่งออก 65,606.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.36 และมูลค่าการนำเข้า 4,912.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.13 ซึ่งไทยได้เปรียบดุลการค้าชายแดน 60,694.05 ล้านบาท ทั้งนี้ สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า น้ำตาลทราย ยางยานพาหนะ เครื่องสำอาง เครื่องหอมและสบู่ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ผ้าผืนและด้าย รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบอื่น ๆ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เหล็ก ผักและของปรุงแต่งจากผัก อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ ทองแดงและผลิตภัณฑ์ เศษกระดาษ เสื้อผ้าสำเร็จรูป พืชน้ำมันและผลิตภัณฑ์ ธัญพืช ผลิตภัณฑ์ไม้อื่น ๆ และเครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยโลหะสามัญ
3.2 การลงทุน
นับตั้งแต่รัฐบาลกัมพูชาได้มีกฎหมายการลงทุนเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2537 จนถึงปี 2554 ประเทศไทยเป็นผู้ลงทุนอันดับที่ 6 มีจำนวนเงินลงทุน 218 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองจากมาเลเซีย จีน ไต้หวัน เวียดนาม และเกาหลีใต้ ในปี 2551 ไทยมีโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกัมพูชา (Cambodian Investment Board: CIB) จำนวน 4 โครงการ เป็นเงินลงทุนมูลค่า 30.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้แก่ การผลิตอ้อยและน้ำตาลของกลุ่มบริษัท Thai Beverage ธุรกิจภาคการขนส่งเพื่อสร้างท่าเรือโดยบริษัทในกลุ่มบริษัทน้ำตาลขอนแก่นของไทย และการลงทุนของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เกี่ยวกับโรงพยาบาลนานาชาติในนามบริษัท Phnom Penh Medical Service จำกัด สำหรับปี 2552 ไทยลงทุนเป็นอันดับที่ 6 มีจำนวน 5 โครงการ เงินลงทุนมูลค่า 15.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากเป็นอันดับที่ 2 ของเงินลงทุนที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด รองจากจีน ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป 1 โครงการ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร 3 โครงการ และอุตสาหกรรมผลิตรองเท้า 1 โครงการ ในปี 2553 ไทยมีมูลค่าการลงทุนเป็นอันดับที่ 6 โครงการที่ได้รับอนุมัติมีจำนวน 1 โครงการเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าแปรรูป และในปี 2554 ไม่มีโครงการลงทุนใหม่ ๆ จากประเทศไทย
3.3 การท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปท่องเที่ยวในกัมพูชาระหว่างเดือนมกราคม - ตุลาคม 2554 มีจำนวนมากเป็นอันดับ 7 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยว 91,343 คน รองจากเวียดนาม เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ลาวซึ่งมีจำนวนลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2553 ร้อยละ 26.45 ในขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวกัมพูชาได้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยในปี 2554 จำนวน 252,705 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ร้อยละ 72.76 โดยมีจำนวน 146,274 คน
4. ความสัมพันธ์ด้านการต่างประเทศ
4.1 การเยือนที่สำคัญ
4.1.1 ฝ่ายไทย
พระราชวงศ์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- วันที่ 25 - 27 สิงหาคม พ.ศ. 2535 เสด็จฯ เยือนกรุงพนมเปญ ในฐานะพระราช
อาคันตุกะของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
- วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2536 เสด็จฯ เยือนโรงพยาบาลและโรงเรียนในจังหวัดเกาะกง (เสด็จฯ โดยเรือหลวงกระบุรีจากจังหวัดตราด)
- วันที่ 12 - 18 มกราคม พ.ศ. 2536 เสด็จฯ เยือนกัมพูชา เพื่อทอดพระเนตรและศึกษา
สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชาในกรุงพนมเปญและเมืองเสียมราฐในฐานะพระราชอาคันตุกะของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
- วันที่ 1 - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2539 เสด็จฯ นำคณะนักเรียนจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ เยือนกัมพูชา เพื่อศึกษาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในเมืองเสียมราฐ
- วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2542 เสด็จฯ นำคณะนักเรียนจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ เยือนกัมพูชา เพื่อศึกษาปราสาทบันเตียชมาร์ นครวัด นครธมและปราสาทบายน
- วันที่ 7 - 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เสด็จฯ เยือนจังหวัดเสียมราฐ และจังหวัด กำปงธม เพื่อศึกษาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชา
- วันที่ 15 - 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 เสด็จฯ นำคณะกรรมการมูลนิธิอานันทมหิดล เยือนกัมพูชา เพื่อศึกษาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ
- วันที่ 16 - 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 เสด็จฯ เยือนกรุงพนมเปญ เพื่อเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ
- วันที่ 16 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 เสด็จฯ เยือนกรุงพนมเปญในฐานะอาคันตุกะของรัฐบาลกัมพูชา
- วันที่ 21 - 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เสด็จฯ เยือนกัมพูชาเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรโครงการโรงเรียนพระราชทาน (โรงเรียนมัธยมกัมปงเฌอเตียล อำเภอสมโบร์ไพรกุก จังหวัดกัมปงธม)
- วันที่ 9 - 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เสด็จฯ เยือนกัมพูชา เพื่อพระราชทานโรงเรียนมัธยมกัมปงเชอเตียล อำเภอสมโบร์ไพรกุก จังหวัดกัมปงธม
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
- วันที่ 31 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ 2536 เสด็จฯ เยือนจังหวัดพระตะบองและกรุง
พนมเปญ เพื่อนำคณะแพทย์ไปตรวจรักษาประชาชนชาวกัมพูชา และบรรยายสรุปเกี่ยวกับแผนอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา
รัฐบาล (ระหว่างปี พ.ศ. 2544 - 2552)
นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร)
- วันที่ 18 - 19 มิถุนายน พ.ศ. 2544 เยือนกรุงพนมเปญ (ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง)
- วันที่ 3 - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 เยือนกรุงพนมเปญ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด
อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงครั้งที่ 1 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 8
- วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 เยือนเมืองเสียมราฐ เพื่อเข้าร่วมการประชุม
คณะรัฐมนตรีร่วมไทย – กัมพูชา
- วันที่ 10 สิงหาคม 2549 เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
นายกรัฐมนตรี (พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์)
- วันที่ 15 ตุลาคม 2549 เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ (ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง)
นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช
-วันที่ 3 – 4 มีนาคม 2551 เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ (ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง)
นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
- วันที่ 12 มิถุนายน 2552 เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ (ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง)
- วันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2553 เข้าร่วมการประชุม ACMECS Summit ที่กรุงพนมเปญ
นายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)
- วันที่ 15 กันยายน 2554 เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ (ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง)
- วันที่ 2-4 เมษายน 2555 เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 20 ที่กรุงพนมเปญ
4.1.2 ฝ่ายกัมพูชา
พระราชวงศ์ (ระหว่างปี พ.ศ. 2535 - 2552)
พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี กษัตริย์กัมพูชา
- วันที่ 11 - 14 มิถุนายน พ.ศ. 2549 เสด็จฯ เยือนประเทศไทยเพื่อทรงเข้าร่วมงานฉลองศิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัฐบาล (ระหว่างปี พ.ศ. 2544 - 2552)
นายกรัฐมนตรี (สมเด็จฮุน เซน)
- วันที่ 13 - 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
- วันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2546 เยือนจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย – กัมพูชา
- วันที่ 13 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
- วันที่ 27 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2552 เยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ชะอำ-หัวหิน
- วันที่ 10 – 12 เมษายน 2552 เยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 ที่พัทยา
- วันที่ 23 - 25 ตุลาคม 2552 เยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 ที่ชะอำ-หัวหิน
5.ความตกลงที่สำคัญระหว่าง ไทย – กัมพูชา
(1) ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี
ลงนามเมื่อ 1 มกราคม 2537
(2) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว
ลงนามเมื่อ 29 มีนาคม 2538
(3) ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดน
ลงนามเมื่อ 29 กันยายน 2538
(4) ความตกลงว่าด้วยการค้า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ
ลงนามเมื่อ 20 มิถุนายน 2539
(5) ความตกลงทางวัฒนธรรม
ลงนามเมื่อ 21 มิถุนายน 2540
(6) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามการค้ายาเสพติด สารออก
ฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น
ลงนามเมื่อ 6 พฤษภาคม 2541
(7) สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ลงนามเมื่อ 6 พฤษภาคม 2541
(8) ความตกลงว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนส่งทรัพย์สินทางวัฒนธรรมข้ามแดนและ การส่งคืนทรัพย์สินทางวัฒนธรรม
ลงนามเมื่อ 14 มิถุนายน 2543
(9) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก
ลงนามเมื่อ 14 มิถุนายน 2543
(10) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน
ลงนามเมื่อ 18 มิถุนายน 2544
(11) ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต
ลงนามเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2544
(12) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาถนนหมายเลข 48 (เกาะกง - สแรอัมเบิล) และถนนหมายเลข 67 (สะงำ - อันลองเวง - เสียมราฐ)
ลงนามเมื่อ 31 พฤษภาคม 2546
(13) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการขจัดการค้าเด็กและหญิง และการ
ช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์
ลงนามเมื่อ 31 พฤษภาคม 2546
(14) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร
ลงนามเมื่อ 31 พฤษภาคม 2546
(15) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจ้างแรงงาน
ลงนามเมื่อ 31 พฤษภาคม 2546
(16) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา
ลงนามเมื่อ 31 พฤษภาคม 2546
(17) พิธีสารยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางราชการ
ลงนามเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2549
(18) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสารสนเทศและกิจการวิทยุกระจายเสียง
และกิจการวิทยุโทรทัศน์ไทย - กัมพูชา
ลงนามเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2549
(19) ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการ
โอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับใช้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา
ลงนามเมื่อ 5 สิงหาคม 2552
ประเทศเวียดนาม
ประเทศเวียดนาม
ข้อมูลทั่วไป
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทิศเหนือติดกับจีน
ทิศตะวันตกติดกับลาว
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับกัมพูชา
ทิศตะวันออกติดกับทะเลจีนใต้และอ่าว Tonkin
ทิศใต้ติดกับอ่าวไทย
พื้นที่331,690 ตารางกิโลเมตร(ประมาณพื้นที่ 3 ใน 5 ของไทย
เมืองหลวง : กรุงฮานอย (Hanoi)
ประชากร 86 ล้านคน (2550)
ภูมิอากาศ
อากาศร้อนชื้น อุณหภูมิต่ำสุดกับสูงสุดอยู่ระหว่าง 5 องศาเซลเซียสถึง 37 องศาเซลเซียส และมีฝนตกระหว่างช่วงพฤษภาคม – กันยายน
ภาษา:ภาษาเวียดนาม
ศาสนา: ศาสนาพุทธ (มหายาน) มีจำนวนผู้นับถือมากที่สุด
หน่วยเงินตรา: เงินด่ง (1 บาท : ประมาณ 500 ด่อง ณ กุมภาพันธ์ 2551)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ :(GDP) 73.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2550)
รายได้ประชาชาติต่อหัว :(GNI per capita) 835 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2550)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 6.5 (ช่วงครึ่งแรกของปี 2551)
รูปแบบการปกครองระบอบสังคมนิยม โดยพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (Communist Party of Vietnam)
ประมุข
นายเหวียน มินห์ เจี๊ยต (Nguyen Minh Triet) ประธานาธิบดี
หัวหน้ารัฐบาล
นายเหวียน เติน ซุง (Nguyen Tan Dung) นายกรัฐมนตรี
นายหน่ง ดึ๊ก หมั่น (Nong Duc Manh) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์
รัฐบาลปัจจุบัน
1.การเมืองการปกครอง
1.1 การเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพและเอกภาพสูง อีกทั้งมีการกระจายอำนาจการบริหารในทางเศรษฐกิจแก่แต่ละจังหวัดเพื่อพัฒนา และส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งในการเปลี่ยนผู้นำครั้งล่าสุดภายหลังการประชุมสมัชชาพรรคมิวนิสต์ เวียดนามสมัยที่ 10 เมื่อปี 2549 ได้มีการเลือกตั้งผู้นำที่มาจากทั้งภาคเหนือและภาคใต้ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจและมีภาพลักษณ์ของผู้นำรุ่นใหม่
1.2 ที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติเวียดนาม สมัยที่ 12 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2550 ได้ให้การรับรองสมาชิกสมัชชาแห่งชาติจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 จำนวน 493 คนจากผู้สมัครทั้งหมด 876 คน เป็นสมาชิกสภาแห่งชาติหน้าใหม่ 345 คน โดยได้เลือกผู้นำเวียดนาม 3 คน ได้แก่ นายเหวียน เติน ซุง นายกรัฐมนตรี นายหน่ง ดึ๊ก หมั่น เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และนายเหวียน มินห์ เจี๊ยต ประธานาธิบดี ซึ่งได้คะแนนเสียงร้อยละ 99.1 91.2และ 89.7 ตามลำดับ และเลือกคณะรัฐมนตรีซึ่งประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรีจำนวน 5 คน และรัฐมนตรีจำนวน 22 คน รัฐมนตรีส่วนใหญ่จะได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 80 ขึ้นไป
2. เศรษฐกิจและสังคม
2.เวียดนามมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงและขยายตัวอย่างต่อเนื่องภายใต้นโยบาย ปฏิรูปเศรษฐกิจ “โด่ย เหมย” (Doi Moi) ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2529 ปัจจุบันเวียดนามพยายามปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2550
ในการพัฒนา ประเทศ เวียดนามได้ดำเนินการแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 ระหว่างปี 2549-2553 ซึ่งสรุปเป้าหมายและทิศทางของการพัฒนาประเทศในช่วง 5 ปี ดังนี้
(1) ดำเนินการตามนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ “โด่ย เหมย” (Doi Moi) เพื่อให้อัตราการเพิ่มของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเติบโตร้อยละ 8 หรือมากกว่าภายในปี 2553 (ให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 94 - 98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
(2) สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจการตลาดแบบสังคมนิยมเพื่อก้าวสู่ความเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและทันสมัยภายในปี 2563
(3) พัฒนา knowledge - based economy
(4) ปรับปรุงคุณภาพการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเร่งรัดพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งนี้ เวียดนามมีนโยบายเน้นหนักเรื่องการส่งเสริมธุรกิจเอกชน เร่งปฏิรูปรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และเชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศ
2.2 ปัจจุบัน เวียดนามประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนเงินด่องกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ธนาคารชาติเวียดนามต้องประกาศมาตรการแก้ไขปัญหาโดยปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ยพื้นฐานจากร้อยละ12 เป็นร้อยละ 14 และประกาศปรับความเคลื่อนไหวในอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินด่องกับดอลลาร์สหรัฐ ไม่เกินร้อยละ 2 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวร้อยละ 6.5 ในขณะที่มีอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 26.8 ในเดือนมิถุนายน 2551
2.3ด้านการค้าระหว่างประเทศ เวียดนามยังคงขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 เป็นมูลค่า 16,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่าการนำเข้า 45,500 ล้านดอลลร์สหรัฐ และส่งออก 28,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การแก้ไขภาวะการขาดดุลการค้าเป็นปัญหาท้าทายสำหรับเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามมีโครงการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น ทำให้มีความต้องการนำเข้าอุปกรณ์เครื่องจักรและวัตถุดิบจากต่างประเทศสูง
2.4 เวียดนามเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าเกษตรกรรมและสินค้าประมงเป็นสำคัญ
โดย ปัจจุบันเวียดนามเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากเป็นอันดับสองรองจากไทย (ประมาณ 3-4 ล้านตันต่อปี) ส่งออกพริกไทยดำและเมล็ดมะม่วงหิมพานต์มากที่สุดในโลก ส่งออกกาแฟเป็นอันดับสองของโลก ส่งออกยางพาราเป็นอันดับสี่ของโลก และเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันดิบมากเป็นอันดับสามในเอเชีย
2.5นักลงทุนต่างประเทศยังคงมีความมั่นใจในศักยภาพและบรรยากาศการลงทุนใน เวียดนาม โดยสะท้อนในรูปของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเวียดนามในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 มีมูลค่าสูงถึง 31,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2550 ถึง 3.7 เท่า การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศจำนวนมากอย่างต่อเนื่องส่งผลให้การสำรอง เงินตราต่างประเทศของเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบ 2 เท่าในรอบปีที่ผ่านมา
information
Location: Located in the eastern region of Southeast Asia.
North, China
West to Laos
Southwest with Cambodia.
East, the South China Sea and the Gulf of Tonkin.
South to the Gulf of Thailand
331,690 area Square kilometers (about three in five areas of Thailand.
Capital: Hanoi
Population of 86 million (2550).
climate
Humid The maximum temperature is between 5 ° C to 37 ° C and rain during May to September.
Languages: Vietnamese
Religion: Buddhism (Mahayana) were the most respected.
Currency: Dollar (1 baht: the estimated $ 500 in February 2551).
Gross Domestic Product: (GDP) 73.5 billion (2550).
National income per capita: (GNI per capita) 835 dollars (2550).
The economic growth of 6.5 percent (first half of 2551).
Style socialist regime By Communist Party of Vietnam
Head
Mr. Nguyen Minh Jia, T. (Nguyen Minh Triet) president.
head of government
Mr. Prime Minister Nguyen Tan timber.
Mr Duc persistent Party Secretary position.
the current government
1. Politics
1.1 Vietnam's political stability and high autonomy. Moreover, the administrative decentralization in the economic development of the province. And promote foreign investment. In the last leadership change after the Munich Conference of the post. Vietnam was the 10th in 2549 to the election of leaders from both the North and South. The experience economy and the image of the new leaders.
1.2 The National Assembly of Vietnam was the 12th of July 2550 a certified member of the National Assembly elected last May 2550 on 493 people who all 876 members of the National Council page 345 persons have selected. the Vietnam three members, namely Mr. Nguyen Tan Forest Minister Mr. location Duc persistent Party Secretary and Mr. Nguyen Minh Jia, President of the percent of the votes, 99.1 91.2 and 89.7, respectively, and selected. Cabinet, which consists of 5 members and deputy prime ministers and 22 ministers, most people will get up to 80 percent of the vote.
2 Economic and Social
2 Vietnam has a high economic potential and continues to grow under the policy. Economic reform "My Mei" (Doi Moi), which began in 2529 Vietnam to amend the regulations. Comply with the requirements of the World Trade Organization (WTO), which Vietnam is a member, on January 11, 2550.
In developing countries, Vietnam has undertaken a National Social and Economic Development Plan No. 5 for the year 2549-2553 which outlines the goals and directions of development in the last 5 years.
(1) implementation of policy reforms "My Mei" (Doi Moi), so that the growth rate of GDP growth of 8 percent or more by the year 2553 (the gross domestic product in the country rose to 94. - 98 billion dollars).
(2) strengthen the socialist market economic system to become a modern and developing countries by the year 2563.
(3) develop a knowledge - based economy.
(4) improve the quality of education. Science and Technology And accelerate the development of human resources, Vietnam's policy emphasis on promoting private sector. Accelerate reform of state enterprises, and invite foreign investment.
2.2 Vietnam Economic troubles. Both higher inflation and exchange rate dong to the dollar. The Bank of Vietnam announced measures to resolve the problems raised. Basic interest of 12 percent or 14 percent, and announced to the movement in the dollar exchange rate to the dollar. No more than 2 percent in the first half of 2551, Vietnam's economy grew 6.5 percent, while the inflation rate of 26.8 percent in June 2551.
2.3 The Trade Vietnam still lack balance increased during the first half of 2551 was worth 16,900 million. The import value was USD 45,500 million and 28,600 million dollars in exports. Fixing the trade deficit is a challenge for Vietnam. Because Vietnam has increased foreign investment projects. There was a need to import equipment and raw materials from abroad.
2.4 Vietnam is a country that exports of agricultural and fishery products is important.
At present, Vietnam is the country's rice exports from Thailand were ranked second (about 3-4 million tons per year) exports of black pepper and cashew nuts in the world. Coffee is the second largest exporter in the world. The world's fourth-largest timber exporters. And the country was the third largest oil exporter in Asia.
2.5 Foreign investors still have confidence in the potential and investment climate in Vietnam is reflected in the form of direct investment abroad (FDI) in Vietnam during the first 6 months of 2551 amounts to 31,600 billion. Increase from the same period in 2550 to 3.7 times the inflow of capital from abroad continuously contributed to the book. Vietnam's foreign rapidly increased almost two-fold in the past year.
เที่ยวสิงคโปร์ 10อันดับที่ไม่ควรพลาด
เที่ยวสิงคโปร์ 10 อันดับ สถานที่ท่องเที่ยวสิงคโปร์
เที่ยวสิงคโปร์ – สิงคโปร์ประเทศที่เป็นเพียงเกาะเล็กๆ มีพื้นที่ไม่ใหญ่โตเหมือนประเทศอื่นๆ แถมดูเหมือนว่าจะไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจซักเท่าไหร่นอกจาก แหล่งช็อปปิ้ง, กินอาหารเย็น หรือ การเข้าโรงหนัง ซึ่งแม้แต่คนสิงคโปร์เองมักเอ่ยปากเห็นด้วยเช่นกันว่า “ประเทศสิงคโปร์ไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก” แต่ในความเป็นจริง สิงคโปร์น่าสนใจกว่าที่คิด ยิ่งกับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวสิงคโปร์เป็นครั้งแรก อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อที่จะเที่ยวให้ครบทุกสถานที่ ต่อไปนี้เป็น 10 สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต 10 อันดับ ที่จะทำให้คุณประทับใจกับสิงคโปร์แบบไม่มีวันลืม – 10 อันดับนี้ ไม่ได้เรียงตามความน่าสนใจของแต่ละสถานที่
1. อลิซาเบธวอร์ค หรือ The Esplanade Park
อลิซาเบธวอร์คมีอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ และ รูปปั้นเชิดชูบุคคลตั้งอยู่ 3 แห่ง คือ Cenotaph (อนุสรณ์รำลึกเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1) อีกสองแห่งตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ Tam Kim Seng และ Lim Bo Seng ซึ่งอลิซาเบธวอร์คนั้นเป็นสถานที่ที่น่ามาเดินเล่นถ่ายรูปช่วงยามเย็นถึงพร บค่ำเพราะมีทัศนียภาพที่สวยงามของอ่าวมาริน่าซึ่งมีฉากหลังเป็นโรงละครเอส เพลนาทเป็นเครื่องการันตีว่ามาที่นี่ได้วิวสวยแน่นอน
ที่สำคัญสุดถนนทางตะวันตกเฉียงใต้ของสวนแห่งนี้ มีรูปปั้น Merlion ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งหากใครมาเที่ยวสิงคโปร์ก็ไม่น่าพลาดที่จะถ่ายรูปคู่กับรูปปั้น Merlion กลับไปอวดเพื่อนๆ
2. ไชน่าทาวน์ China Town Singapore
ไชน่าทาวน์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของสิงคโปร์เพราะนอกจากจะมีของกินและของ ขายมากมายให้เลือกซื้อกลับไปฝากที่บ้านแล้ว ไชน่าทาวน์ที่สิงคโปร์ยังมีวัดและพิพิธภัณฑ์สำคัญหลายแห่ง ยกตัวยอย่างเช่น วัดและพิพิธภัณฑ์พระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Reliec Temple and Meseum) ที่คุณสามารถเข้าไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งภายในมีสถูปสร้างขึ้นจากทองคำที่มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคหนักกว่า 420 กิโล ตัวอาคารสร้างตามสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นยุคทองของพุทธศาสนา แบ่งเป็น 4 ชั้น ชมพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการเกี่ยวกับพุทธศาสนาและชมพุทธรูปภายในพิพิธภัณฑ์ อีกหนึ่งที่ก็คือ Chinatown Heritage Centre ที่รวบรวมเรื่องราวของประเทศสิงคโปร์และไชน่าทาวน์ของสิงคโปร์เอาไว้อย่างน่าสนใจ
3. ช็อปปิ่งที่ถนนออร์ชาร์ด
ห้างสรรพสินค้าห้างแรกที่ถูกสร้างบนถนนออร์ชาร์ดนั้น ได้สร้างโดย C.K. Tang ในปี 1958 หลังจากนั้นตึกสูงและห้างสรรพสินค้าต่างๆถูกปลูกขึ้นมารอบๆบริเวณนี้ เช่น Plaza Sinagura, Mandarin Hotel ซึ่งต่อมาสถานเริงรมณ์และร้านค้าต่างๆก็ขึ้นกันเป็นดอกเห็ด เนื่องจากถนนเส้นนี้มีจำนวนเงินหมุนเวียน ผู้คนใช้สอยกัน เรียกว่าเป็นอันดับต้นๆในสิงคโปร์เลยทีเดียว สนใจเที่ยวสิงคโปร์?
หากคุณเคยได้ไปเที่ยวที่สิงคโปร์มาก่อน หรือกำลังวางแผนจะไปทัวร์สิงคโปร์ ถนนออร์ชาร์ดควรเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรอยู่ในแพลน เพราะที่นี่มีห้างสรรพสินค้ามากมายให้ท่านได้เลือกเดินเล่น เดินช็อปปิ้ง เช่น โรบิน สัน, เซ็นเตอร์พอยท์, ออร์ชาร์ดพลาซ่า, ลักกี้พลาซ่า, Wisma Atria Shopping Centre, Takashimaya แถมยังมีแบรนด์ดังๆจากทั่วโลกให้เลือกซื้อได้ที่ถนนออร์ชาร์ดนับ 1000 แบรนด์
4. LEGOLAND มาเลเซีย
สวนสนุก LEGOLAND จริงๆแล้วไม่ได้อยู่ในประเทศสิงคโปร์ แต่การเดินทางไป LEGOLAND ผ่านทางชายแดนมาเลเซีย ใช้เวลาเพียง 1.30 ชั่วโมงเท่านั้นจากตัวเมือง ซึ่งสวนสนุกเลโก้แห่งนี้เป็นสวนสนุกเลโก้แห่งแรกในเอเชีย มีเครื่องเล่นมากมายกว่า 40 ชนิดให้ได้ย้อนเวลาวัยเด็กกันอย่างจุใจ และมีพื้นที่ให้เยี่ยมชม 7 โซนด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น Miniland ย่อส่วนสถานที่สำคัญต่างๆของมาเลเซีย, สิงคโปร์ และของประเทศในเอเชียอื่นมาเป็นตัวต่อเลโก้ อัตราส่วน 1:20 ของขนาดจริง
The Beginning – ร้านค้าต่างๆตั้งอยู่ที่นี่ รวมถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพของเจ้าของสถานที่ LEGO ด้วย
Imagination – โซนนี้มีไว้สำหรับแฟนเลโก้ตัวยง ทุกคนในครอบครัวสามารถมาร่วมกันต่อเลโก้กันได้ที่โซนนี้ แถมยังมีกิจกรรมต่างๆให้เล่นด้วย เช่น แข่งขันรถเลโก้ และ ทดสอบความแข็งแร็งของเลโก้ที่คุณต่อมาได้ด้วยที่กระดานแผ่นดินไหว ส่วนโซนอื่นๆก็มี Lego Technic, Lego®Mindstorms®, Lego Kingdoms, Land of Advanture, Lego City
5. ซิมลิม สแควร์ (Sim Lim Square)
การช็อปปิ้งสินค้าอีเล็กโทรนิคที่ซิมลิม สแควร์ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ขาดเสียไม่ได้หากมาทัวร์สิงคโปร์ สินค้าอิเล็กโทรนิคทุกชนิดมีให้เลือกซื้อที่นี่ จุดเด่นของซิมลิม สแควร์ก็คือสินค้าอิเล็คโทรนิคที่นี่จะมีราคาที่ถูกกว่าซื้อที่ศูนย์โดย เฉลี่ยจะ 10-20% เลยทีเดียว แถมคุณยังสามารถต่อราคาได้อีก ถ้าซื้อหลายชิ้น หรือ จ่ายสินค้าด้วยเงินสด บางคนถึงกับมาต่อราคามือถือที่นี่กลับมาขายเอากำไรที่เมืองไทยเลยก็มี หากคุณต้องการไปเที่ยวสิงคโปร์ และ มองหาแพคเกจไปสิงคโปร์ดีๆ
6. Zouk Club – เที่ยวผับสิงคโปร์
ซุกคลับ (Zouk Club) สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่ดังที่สุดในสิงคโปร์ แม้ว่าอาจจะเทียบไม่ได้กับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองต่างๆอย่าง Barcelona หรือ New York เพราะที่นี่กฎหมายบังคับไม่ให้สถานบรรเทิงยามค่ำคืนเปิดเกินตี 4 (ไม่เกินตี 4 ในวันศุกร์และเสาร์ ,วันอังคารตี 2, พุทธ พฤหัสตี 3) ถึงอย่างนั้นก็เถอะ Zouk Club ยังคงความนิยมในหมู่นักเที่ยวของสิงคโปร์เอง และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยววัยรุ่นต่างชาติที่มาเที่ยวสิงคโปร์ส่วนใหญ่ มักจะมากันสังสรรค์กันในยามค่ำคืน
7. Geylang – สถานที่ท่องเที่ยวสิงคโปร์
เกลัง เป็นแหล่งที่คุณสามารถได้ลองลิ้มชิมรสอาหารรสเลิศทั้งสไตล์ท้องถิ่นอย่าง อาหารมาเลเซีย และ อาหารจีน รวมไปถึงอาหารอินเดีย ซึ่งเกลังนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์รวมของอาหารอร่อยของประเทศสิงคโปร์เลย หละครับ และหากคุณมา เกลัง ในยามค่ำคืน อย่าแปลกใจถ้าเห็นผู้หญิงแต่งตัวสไตล์เซ็กซี่ยืนเรียงรายเต็มถนนไปหมด คงไม่ต้องบอกกันว่าหมายถึงอะไร (นึกซะว่าเป็นพัทยาบ้านเรา) นอกจากอาหารการกินและชีวิตยามค่ำคืนแล้ว เกลัง ยังมีวัดสวยๆอย่างวัด Sri Sivan ด้วย ซึ่งเมื่อตกเย็นวัดแห่งนี้จะเปิดไฟที่ตกแต่งดีรอบตัววัด ดูงดงามตระการตาสุดๆ จากที่กล่าวมาทำให้ เกลัง เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่น่ามาเปิดหูเปิดตาและลองอาหารรสเด็ดของ ประเทศสิงคโปร์
8. ฮาจิเลน
ถนนเส้นเล็กที่เป็นแหล่งรวมใจกลางเขตชุมชนมุสลิม ที่นี่เป็นแหล่งรวมสินค้าแนวสตรีทแฟชั่น ซึ่งผลิตและออกแบบเองโดยดีไซเนอร์วัยรุ่นไฟแรงของสิงคโปร์ ถ้าให้เทียบ คงจะเทียบได้กับตลาด จตุจักรบ้านเรา (แต่ไม่แออัดเท่าบ้านเรา) ที่มีหนุ่มสาวนักออกแบบไฟแรงออกแบบและผลิตเสื้อผ้าเอง ออกมาขายในแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งบางแบรนด์พูดได้เลยว่า สวย ดูดี แถมราคาสบายกระเป๋ากว่าของแบรนด์เนมเยอะ
นอกจากจะมีสินค้าแนวๆ สวยๆ ขายแล้ว ถนนเส้นนี้ยังมีความสวยงาม รายล้อมไปด้วยร้านค้าตกแต่งสไตล์ วินเทจ ซึ่งทำให้เดินแล้วรู้สึกสบายใจ เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสมัย 20 30 ปีที่แล้ว ซึ่งถ้าหากว่าได้มาเที่ยวที่สิงคโปร์ ถนนเส้นเล็กๆแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเป็นอันขาด
9. ชิงช้าสวรรค์ Singapore Flyer
หากคุณมาเที่ยวสิงคโปร์หละก็ ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ Singapore Flyer เป็นอีกที่หนึ่งที่ห้ามพลาด ชิงช้าสวรรค์สิงคโปร์ Flyer มีความสูงถึง 165 เมตร ซึ่งจะทำให้คุณเห็นภาพของเมืองสิงคโปร์จากมุมสูง คุณจะได้เห็นสถานที่สำคัญๆของสิงคโปร์ เช่น มาริน่า เบย์, Raffles Place, สวน อลิซาเบธวอร์ค, รูปปั้น Merlion และอีกหลายๆที่ คุณสามารถมาชมวิวทิวทัศน์จาก Singapore Flyer ได้ทั้งในช่วงเวลากลางวันและกลางคืน (นานกว่า 30 นาที) ภาพที่ได้นั้นรับรองว่าสวยประทับใจแน่นอน
การนั่ง Singapore Flyer นั้นมีให้เลือกหลายประเภทตั้งแต่นั่งดูเฉยๆ จนไปถึงเสริฟอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคานั้นก็ต่างกันไปตั้งแต่ $26.54 – $56.71
10. สวนพฤกษศาสตร์ Botanic Gardens
Botanic Garden เป็นที่ที่ควรแวะมาในยามเช้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะที่สิงคโปร์สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจส่วนใหญ่มักจะเปิดสสายและมีไม่ กี่สถานที่ที่น่าแวะมาในยามเช้า สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆของสิงคโปร์นั้นเปิดในเวลา 11 โมงขึ้นไปซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าอยากหาอะไรทำช่วงเช้าแล้วหละก็ลองสวมรองเท้าวิ่ง แล้วมาเดินเล่นที่นี่กันดู คุณจะได้เห็นบรรยากาศแบบธรรมชาติสีเขียวซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้วในเมืองสิงคโปร์
สวนสีเขียวแห่งนี้คุณจะได้เห็นผู้คนที่รักสุขภาพมาออกกำลังกาย, วิ่ง, พาสุนัขมาฝึก, หรือรำมวยไทชิ จากนั้นลองเดินผ่านทางเดินที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เล็ก ใหญ่ หนาทึบแบบป่าเขตร้อน จนสุดทางทะลุไปถึงสวนกล้วยไม้หลากสี นับ 3000 สายพันธุ์ เมื่อเสร็จสิ้นอาจจะแวะพักที่ฟูดคอร์ทและลองรับประทานอาหารเช้าตำหรับ สิงคโปร์ อย่าง ไข่ต้ม กาแฟ และขนมปังปิ้งทาด้วยแยมรสมะพร้าว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)